ความเดิมต่อที่แล้วหลังจากที่พวกเราแวะไปเที่ยวแคยอนสีเขียวและเมืองโจเบิร์กกันแล้วนั่ง เราก็นั่งเครื่องบินภายในประเทศไปยังเมืองเคปทาวน์
ความเดิมตอน01 : #วาก้าวาก้าxลุยครุกเกอร์โหนเกมไดรฟ์ตามหาบิ๊กไฟว์เจ้าอยู่ไหน๊
https://goaroundwithyou.com/2019/06/01/wakawakaxsouthafrica-ep01/
ความเดิมตอน02 #วาก้าวาก้าxลัดเลาะท่องในโจเบิร์กบรึ๊ยยย
https://goaroundwithyou.com/2019/06/03/wakawakaxsouthafrica-ep02/

แม้จะเป็นเมืองหลวงด้านนิติบัญญัติของประเทศ แต่เราเชื่อว่าเคปทาวน์ยังเป็นเมืองสีสันอีกแห่งที่ใครๆก็หลงรักเมืองนี้กัน สถานที่เที่ยวในเมืองเคปทาวน์นั้นมีทั้งในตัวเมืองเคปทาวน์เอง และต้องขับรถออกมานอกเมืองด้วย เราว่าเช่ารถขับอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีอันหนึ่งนะ อยากจะแวะไหนก็แวะ ถนนที่เคปทาวน์ก็ดี พวงมาลัยขวา google map ใช้งานได้ตลอด หรือถ้าในตัวเมือง Cape town ไม่ได้เช่ารถขับเอง จะเรียก uber ก็สะดวกไม่แพ้กันนะ
Day05 : Johannesburg – Cape Town (Muizenberg Beach – Boulders Penguin Colony – Cape of Good Hope)
เรานั่งเครื่องบินจากเมืองโจเบิร์กมายังเมืองเคปทาว์น ใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง ตอนอยู่บนเครื่องมองลงมาเห็น Table Mountain ชัดเด่นมากๆ แถมลักษณะภูมิประเทศก็เปลี่ยนไปจากฝั่งบนแถวเมืองโจเบิร์กของประเทศแอฟริกา


Cape Town เป็นเมืองหน้าติดทะเล หลังติดเขา

เมื่อลงเครื่องบินแล้วพวกเราก็ไปรับรถจากสนามบินกัน เตรียมพร้อมจะลุยเมือง Cape Town แล้ว จุดมุ่งหมายแรกคือ beach hut กระท่อมสีๆริมชายหาด ล้อหมุนได้!
Muizenberg Beach

หาด Muizenberg beach มีชื่อว่าเป็นหาดที่เหมาะกับการมาเล่น surf มากเพราะคลื่นแรงอยู่ แต่นักsurf ทั้งหลายก็ต้องระวังฉลามแถวนี้กันด้วย



Beach Huts สีสันสดใสที่เรียงรายตลอดแนวชายหาดจุด check-in ที่เห็น เป็นห้องที่เอาไว้เปลี่ยนเสื้อผ้าเล่นน้ำที่หาดแห่งนี้กัน


เรามาถึงbeach แห่งนี้ก่อนเที่ยง แถบจะไม่มีนักท่องเที่ยวเลย ส่วนใหญ่จะเห็นคนมาเล่น surf กันซะมากกว่า
Boulders Beach
ค่าเข้าชม : 152R (3xx บาท)
Opening time : 8.00AM – 5.00PM
Link : https://www.southafrica.net/gl/en/travel/article/visit-the-boulders-beach-penguins

เราขับรถกันอีกครึ่งชั่วโมง และจุดหมายต่อไปที่เราจะไปกันคือ Boulders Beach in Simon’s Town, Cape Town ที่หาด Boulders นอกจากจะเป็นหาดน้ำใสทรายละเอียดที่เหมาะสำหรับมาเล่นน้ำทะเลและปิคนิคนอนอาบแดดแล้ว อีกหนึ่งจุดสนใจที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลเข้ามาเที่ยวหาดนี้ คงจะเป็น เจ้าของพื้นที่อย่าง “เพนกวินแอฟริกัน” (African Penguin) เจ้าพวกนี้นี่เอง

“เพนกวินแอฟริกัน” (African Penguin) เดิมเคยถูกเรียกกันว่า “Jackass Penguin”เพราะเสียงร้องเอกลักษณ์ที่คล้ายลา

หาด Boulders Beach ในเขตเมือง Simon’s Town สามารถปักหมุดใน google map แล้วไปจอดรถที่ที่จอดรถ Seaforth Squareได้เลย แล้วเดินเท้าอีกหน่อยก็ถึงหน้า Visitor Center ของ Boulders Penguin Colony

Boulders Penguin Colony เป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์เพนกวินแอฟริกัน (African Penguin) อยู่ภายใต้ Table Mountain National Park

ที่ Fox Beach เราจะเดินบนสะพานไม้ที่เป็นทางเดินทอดยาว แต่เราไม่สามารถเข้าไปเดินเล่นกับเพนกวินได้นะ เราจะเห็นครอบครัว “เพนกวินแอฟริกัน” (African Penguin) จากบนสะพานไม้กันค่ะ ขอบอกเลยว่า น้องกวิ้นเยอะมากกกก เต็มหาด

แค่พ้นหัวโค้งของสะพาน เราก็จะเห็นน้องกวิ้นและครอบครัวนอนเล่น เดินเล่นกันเต็มหาดเลยค่ะ



เราจะเห็นความแตกต่างของน้องกวิ้นเด็กๆ เทียบกับน้องกวิ้นที่โตแล้วพร้อมลงน้ำ ลักษณะของขนจะแตกต่างกันเลยขนของตัวที่โตกว่าจะกันน้ำ (waterproof) ได้ น้องกวิ้นเด็กๆที่เพิ่งเกิดจะมีขนนกปกคลุม และยังไม่สามารถลงน้ำได้

จุดเด่นของ “เพนกวินแอฟริกัน” (African Penguin) คือ ลำตัวที่มีสีดำและขาวที่โดดเด่นเอาไว้อำพรางตัวจากผู้ล่า สีดำจะช่วยอำพรางตัวกวิ้นจากผู้ล่าบนบก และสีขาวจะช่วยอำพรางตัวกวิ้นจากผู้ล่าใต้น้ำ


น้องกวิ้นถือเป็นสัตว์ประเภท monogamous species ที่มีคู่ครองเดียวตลอดชีวิต และเป็นหนึ่งในเพนกวินสายพันธุ์ที่สามารถอาศัยอยู่ในเขตอบอุ่นอย่างประเทศแอฟริกาใต้ได้

แต่น้องกวิ้นมีจงอยปากที่แหลมคมมาก เพราะฉะนั้นระวังน้องกันด้วย อย่าได้พุ่งเข้าไปหาน้องแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวนะ
เล่นกับน้องกวิ้นกันพอหอมปากหอมคอแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปสู่จุดหมายสุดท้ายของวันนี้กัน ที่แหลมแห่งความหวัง (Cape of good hope)
Cape of good hope
ค่าเข้า : 303R (6xx บาท)
Opening time : 6.00AM – 6.00PM เราแนะนำให้มาช่วงตอนเย็น ดูพระอาทิตย์ตกเพราะมันสวยม๊ากกก
Link : https://capepoint.co.za/
พูดได้ว่าแหล่งท่องเที่ยว จุดเชคอินอันดับหนึ่งของเมือง Cape Town ต้องหนีไม่พ้น “แหลมกู๊ดโฮป (Cape of Good Hope)” แห่งนี้

Cape of good hope และ Cape point ตั้งอยู่บน Cape Peninsula ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Table Mountain National Park จากประตูทางเข้าขับไปเรื่อยๆจะเจอทางแยกไปสองส่วน ส่วนแรกจะนำพวกเราไปยังด้านบนนั่งรถราง “The Flying Duchman Funicular” ไปถึงประภาคารบน Cape Point และเราสามารถเดินเท้าจากด้านบนแห่งนี้ลงไปยัง Cape of Good Hope (ใช้เวลา1 ชั่วโมงไปกลับ) ส่วนเส้นทางที่สองจะพาเราเลาะชายหาดไปยังจุด Cape of Good Hope ริมทะเลที่มีป้ายเชคอินแหลมดังสุดฮิตนี้ได้เลย

เราสามารถนั่งรถราง “The Flying Duchman Funicular” ขึ้นไปดูวิวมุมสูงที่ประภาคารบน Cape Point (ราคาตั๋วรถรางเวลา 12.00PM-5.30PM 80R ไป-กลับ) แต่ถ้าใครไม่อยากเสีงตังค์ และยังพอเดินไหว ก็สามารถเดินขึ้นไปบนประภาคารได้เช่นกันน้า


ที่ประภาคารบน Cape Point สามารถมองเห็นรอยบรรจบของ “มหาสมุทรอินเดีย” และ “มหาสมุทรแอตแลนติก” ได้ แถมยังเห็นแหลม Cape of good hope

หลังจากลงจากรถรางแล้ว ขวามือจะมีเส้นทางเดินไปยัง Cape of good Hope ที่ใช้เวลา 1 ชั่วโมงไปกลับ เพื่อลงไปยังด้านล่างที่มีป้ายเชคอินยอดฮิตของ Cape of good Hope กันด้วย แต่ถ้าใครไม่อยากเดิน ก็สามารถขับรถไปยังอีกเส้นทางได้เหมือนกัน

ไม่ว่าจะเดินมาจากยอดประภาคารลงมาที่ cape of good hope หรือจะขับรถมา เราก็จะต้องมาถ่ายกับป้ายนี้กัน – Cape of good hope landmark


Cape of Good Hope, The Most South-Western Point of the African continent

ที่เราแนะนำให้มาตอนเย็นๆ เพราะนอกจากนักท่องเที่ยวจะน้อย แบบไม่ต้องแย่งกันแล้ว เราก็นั่งชมวิวพระอาทิตย์ตกกันแบบฟินๆได้ด้วย เราชอบที่นี่มากเลย


พวกเราขับออกจาก Cape of good hope เกือบหกโมงเย็น เป็นเวลาปิดพอดี กลับเข้าสู่เมือง Cape town ด้วยเส้นทางสาย Chapman’s Peak Drive ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง


คืนนี้เราพัก airbnb กันแถว Camp bay ย่านที่มีความปลอดภัยย่านหนึ่งในเมืองเคปทาวน์ ที่พวกเราตัดสินใจเลือกบ้านหลังนี้ นอกจากจะอยู่ในย่านที่ปลอดภัยแล้ว บ้านยังอยู่ติดหาดที่สวยและมีชื่อเสียงของเมืองด้วย เอาภาพที่พักสองคืนในเคปทาวน์ มาฝากกันค่ะ


Day06 : Cape Town (Table Mountain – Lion’s head)

เช้านี้เราตื่นกันแต่เช้า เพื่อจะไป Table Mountain กัน ดูอากาศวันนี้แล้วน่าจะดี ฟ้าสว่างมาก ขอบอกว่าดูพยากรณ์อากาศกันก่อนมานะคะ เลือกวันแดดดีๆ จะเช้าหรือเย็นก็ได้ รับรองได้เห็นเมืองวิวและขอบทะเลสุดลูกหูลุกตากันเลย
Table Mountain
ค่าเข้า : ตอนเช้าต่อคน 330R ไป-กลับ หรือจะเดิน hiking/trekking กันขึ้นไปก็ได้นะ
Opening time : 8.30AM – 5.00PM (cable คันสุดท้าย) ตารางเวลาออาจจะมการเปลี่ยนแปลง เชคกันได้ที่
Link : https://www.tablemountain.net/content/page/rates
จุดเด่นเตะตาไม่อยู่มุมไหนของเมืองเคปทาวน์ เราก็จะมองเห็น “ภูเขาโต๊ะ (Table Mountain)” ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองกันเลยทีเดียว งั้นเราจะไปเที่ยวภูเขารูปทรงเหมือนโต๊ะ หน้าตัดเรียบแบบนี้กันค่ะ

Table Mountain ที่มีหน้าตาเป็นยอดเขาสูงหน้าตัดเรียบแบบราบ เหมือนดังโต๊ะ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ และเป็น 1 เป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกทางธรรมชาติยุคใหม่ (New 7 Wonders of Nature) ด้วย



คนจะเยอะมาก ถ้าให้ดีซื้อตั๋วออนไลน์กันมาก็ได้นะคะ (แต่อย่าลืมเชคอากาศกันนะ) เรามาถึงก่อน 9 โมงก็เจอคนต่อแถวกันแล้วค่ะ
วิวจากที่รอต่อแถวขึ้น Table Car กันค่ะ


Table Mountain ถือเป็นจุดชมวิวทิศทัศน์ของตัวเมืองเคปทาวน์ที่สวยที่สุดจุดหนึ่งเลยนะ แต่ถ้าวันไหนที่อากาศแบบหมอกเมฆบังภูเขา Table Mountain จะถูกเรียกว่า ผ้าปูโต๊ะ (Table Cloth Cloud) กันลยทีเดียว




จากจุดสูงสุดของยอดเขา เราจะมองเห็น Lion’s head ทางซ้าย ไล่มาเป็นตัวเมือง เคปทาวน์ มหาสมุทรแอตแลนติก Devil’s Peak และทางตอนใต้จะเป็น Table Bay, Cape of Good Hope, และ เกาะ Robben เรือนจำชื่อดัง

Lion’s head ทางซ้าย

ทิวทัศน์ของเมือง เคปทาวน์



สูงจนแตะเมฆได้เลย ขนาดวันนี้อากาศดีมากๆ แต่ลมข้างบนก็แรงและหนาวมากเช่นกัน




น้อง Dassie หน้าตาคล้ายหนู อาศัยกันบน Table Mountain นี้ด้วย
ทิ้งท้ายภาพบรรยากาศของ Table Mountain ตอนเย็นกันอีกนิด ใครมีเวลามาทั้งเช้าและเย็นก็ดีนะ เพราะคนละอารมณ์คนละบรรยากาศเลย สวยติดตามากค่ะ



Lion’s Head
Link : https://hikelionshead.co.za/
ที่สุดของเมืองเคปทาวน์ สำหรับ “ไปเรื่อยด้วยกัน” คือ การปีนขึ้นเขา Lion’s Head เพราะไม่ใช่แค่ความสวยงามของตัว Lion’s head และทิวทัศน์บรรยากาศที่มองเห็นเมืองเคปทาวน์ และ Table Mountain

Lion’s head ตั้งอยู่ระหว่าง Table Mountain และ Signal Hill เราสามารถจอดรถที่จุดจอดรถด้านล่าง แล้วเริ่นต้นเดินทางไปยังจุดบนสุดของยอดเขาได้เลย ความสูงจากพื้นดินถึงยอดเขาอยู่ที่ 669 เมตร (ดูเหมือนไม่สุงมาก แต่ทางที่ขึ้นไปนั่นต้องทั้งเดิน ทั้งปีนเลยค่ะ)
ทางเดินขึ้นเขาแรกเป็นทางลาด มีขรุขระ หินดินแดงกันนิดหน่อย จนกระทั่งถึงจุดทางแยกให้พวกเราเลือกจะเดินทางปกติแต่ไกล หรือจะเดินทางสั้นแต่ท้าทายตัวเองด้วยใช้สกิลปีนป่ายกันก็ได้ พวกเราเลือกปีนป่ายค่ะ เพราะอยากจะเสียเวลาให้น้อยที่สุด ไปกลับทางเดียวกันก็ต้องแบ่งๆทางเดินกันหน่อยนะคะ

ยิ่งสูงจาก Lion’s head เท่าไหร่จะเห็น Table Mountain ได้ชัดมากๆ
เมื่อถึงจุดยอดบนสุด เราพูดได้เลยว่าหายเหนื่อย เพราะทิวทัศน์บรรยากาศข้างบนตอนเย็น มันสวยและคุ้มค่าจริงๆ มองลงไปเห็นบรรยากาศเมืองที่บรรจบกับมหาสมุทร


หันกลับไปเจอ Table Mountain เป็นฉากหลัง เรียกว่านั่งพักตรงนี้จนพระอาทิตย์ตก ชิวเลย




เราใช้เวลาทั้งหมดสามชั่วโมงไปกลับในการ hiking ครั้งนี้ บรรยากาศขากลับค่ะ เมืองเริ่มเปิดไฟเห็นวิบวับๆแล้ว




Day07 : Cape Town ( Sea Point Promenade – Clifton 4th beach – Zeitz MOCAA Museum – V&A Waterfront – Bo-Kaap)
หลังจากที่เมื่อวานไปทำกิจกรรมหนักๆกันแล้ว วันนี้ขอเข้าเมืองเดินเล่น ชมงานศิลป์แบบไม่ใช้แรงกันหน่อย
Sea Point Promenade
ถนนเลียบทะเลที่ Sea Point Promenade พื้นที่กว้างพอสมควร และมีสวนสาธารณะเป็นหย่อมๆเหมาะกับคนออกกำลังกาย และรักสัตว์มาก เรากะว่าเดี๋ยวเย็นนี้เราจะมาวิ่งออกกำลังกายที่นี่กัน


ลักษณะเมืองของเคปทาวน์ ที่ติดกับทะเล อากาศที่นี่ยังอบอุ่นแบบเมดิเตอร์เรเนียและดีไร้มลพิษ เพราะว่าเค้ามีลมทะเลที่พัดแรงมาตลอด ไม่แปลกใจเลยใครๆก็อยากมาเที่ยวที่นี่กัน
Zeitz MOCAA Museum
ค่าเข้าชม 190R ต่อคน
Opening time : 10.00AM – 6.00PM นอกจากนี้ยังมีราคาพิเศษตามช่วงเวลาต่างๆ ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Link : https://zeitzmocaa.museum/

วันนี้เราแวะไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย Zeitz ของแอฟริกาที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพิ่งเปิดเมื่อปี 2017 ไม่นานมานี้ และได้รับการยอมรับให้เทียบเท่ากับ Tate Modern Museum – London, UK หรือ MOMA – New York, USA เลยน้า



Zeitz MOCAA ตั้งอยู่บริเวณของ V&A Waterfront เดิมที่โครงสร้างตัวอาคารเป็นหลอดท่อคอนกรีต 42 หลอดที่มีอยู่แล้วเกือบ 100 ปีเอาไว้เก็บเมล็กพืชทางการเกษตร ต่อมา Thomas Heatherwick สถาปนิกชาวอังกฤษนำมาออกแบบและดัดแปลงใหม่ให้กลายเป็น พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย Zeitz

ภายในอาคารมีทั้งหมด 9 ชั้น เราสามารถเดินขึ้นบันไดวนและชมงานแต่ละชั้นไปเรื่อยจนถึงชั้นบนสุดที่เป็น้รานอหาร ชมวิวของอ่าว Table bay กันได้
งานศิลปะที่นี่เป็นแนวร่วมสมัยแอฟริกัน ที่มีเอกลักษณ์ของศิลปินแต่ละคนที่แตกต่างกันไป แต่ที่แน่ๆคือกลิ่นไอของความเป็นแอฟริกาปนอยู่












V&A Waterfront
เราแวะเดินเล่นย่าน V&A Waterfront แหล่งรวมที่ชอปปิ้ง โรงแรม และร้านอาหารหลากหลาย



เราแวะไปที่ V&A food market ตาม lonely planet คัมภีร์แนะนำแหล่งรวมอาหารหลากหลายประเทศ หาของกินเล่นๆระหว่างวันกันค่ะ

Bo-Kaap
ถ้าถามพวกเราว่า ส่วนไหนของเมืองเคปทาวน์ ที่จี๊ดจ๊าดมากที่สุด พวกเราคงตอบแบบไม่ลังเลว่า “Bo-Kaap” หมู่บ้านสีสันสดใสที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เด่นทุกบ้านเลยทีเดียว

ข้อแนะนำ: การเดินเล่นที่ย่าน Bo-Kaap ควรระมัดระวังเป็นพิเศษนะคะ กล้อง หรือของมีค่าอย่าหยิบออกมาถือเล่นโดยไม่จำเป็น ให้ใช้แล้วเก็บค่ะ เพราะย่านนี้มีชื่อเรื่องอันตรายเหมือนกัน เดินเล่นได้แต่ต้องมีสติค่ะ ด้วยรักและห่วงใย จาก “ไปเรื่อยด้วยกัน”
ที่ Bo-Kaap มีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของชาวมลายูสมัยก่อนให้มาเยี่ยมชมกันด้วยนะคะ เรามาไม่ทันเลยอดเข้าเลย เพื่อนๆสนใจไปกันได้นะ แต่ไปก่อน 5 โมงเย็นจะดีมาก เดี๋ยวอดเหมือนเรา
Link : http://www.bokaap.co.za/
วันนี้เราลุยเที่ยวในเมืองเคปทาวน์พอแล้ว เราก็เข้าที่พัก air bnb อีกที่หนึ่งซึ่งอยู่ในย่าน Bo-kaap เลยค่ะ เรียกว่าเดินข้ามสี่แยกก็ถึง คราวนี้จะเป็นที่พักแบบคอนโดชั้น Duplex สไตล์โมเดิร์นมาก แถมยังเห็นวิวจากกระจกบานใหญ่ที่ห้องเป็น Table Mountain อีกด้วย เราเอาภาพที่พักแห่งนี้มาฝากกันค้าาา

ชั้นล่างจะเป็น living room พร้อม kitchen แบบเคาเตอร์เปิด มีห้องน้ำด้านล่างห้องหนึ่ง พร้อมระเบียงที่ยื่นออกไปสำหรับนั่งชิลๆมองวิวเมืองและภูเขาโต๊ะ




ส่วนชั้นบนจะเป็นห้องนอนและห้องน้ำที่แอบไว้หลังกำแพงไม้ ตอนแรกหาห้องอาบน้ำกันแถบไม่เจอ
ตอนเย็นของวันเราไปออกกำลังกายกันทางเลียบชายหาดของเมือง ซึ่งเราจะเห็นทั้งนักท่องเที่ยวและผู้คนท้องถิ่นต่างพากันมาทำกิจกรรม วิ่งออกกำลังกาย พาสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่น นอกจากได้เที่ยวแล้วยังได้สุขภาพที่ดีกับบรรยากาศดีๆแบบนี้ด้วยนะ แล้วใครหละจะไม่ชอบ?
Day08 : Cape Town (Robben Island – Company’s Garden – District Six Musuem )

ตื่นเช้าแล้ววันนี้เราจะไปเที่ยวเรือนจำ Robben Island ชื่อดังของเมืองเคปทาวน์ แห่งนี้กัน เราไปขึ้นเรือกันที่ V&A Waterfront ค่ะ
Robben Island
ค่าเข้าชม : 550R (1,xxx บาท)
Opening time :เรือสองรอบคือรอบเช้า (9.00am , 11.00am) และรอบบ่าย (1.00pm)
Link : http://www.robben-island.org.za/

Robben island เป็นเกาะที่มีชื่อเสียงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโดยองค์การยูเนสโก เพราะเป็นเกาะสำหรับเรือนจำนักโทษการเมืองผิวสี สมาชิกชั้นนำของพรรคการเมือง PAC และ ANC โดยเฉพาะประธานาธิบดี Nelson Mandela หรือ นักโทษหมายเลข“46664″ ที่ใช้เวลาอยู่ที่นี่นานถึง 18 ปี

เรานั่งเรือกันไปเกือบชั่วโมงก็ถึงเกาะ Robben island

และเราจะใช้เวลาทัวร์บนเกาะกันเกือบสองชั่วโมง

ไกด์นำทัวร์ของเราครั้งนี้เคยเป็นหนึ่งในนักโทษผิวสีการเมืองที่ถูกจับเพียงเพราะต่างสีผิว ต่างอุดมการณ์ เขาได้ถ่ายทอดถึงความอยุติธรรม และความไม่เท่าเทียมในสมัยนั้นให้พวกเราได้ฟัง ยิ่งฟังก็คิดว่า อิสรภาพที่ได้มานั้น ต้องแลกกับความพยายามและเสียสละของผู้คนมากมาย




ห้องขังของ Nelson Mandela
ภายในเรือนจำแห่งนี้จะแบ่งออกอีกเป็น section A B C D เรื่อยไป และแต่ละ section จะแบ่งไว้ขังนักโทษที่มีโทษหรือความร้ายแรงทางการเมืองที่แตกต่างกัน

Robben Island ในปัจจุบันได้กลายสภาพจากเรือนจำเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียง สะท้อนให้เห็นถึงการล่มสลายของความไม่เท่าเทียมและความพ่ายแพ้ของการแบ่งแยกสีผิว
Company’s Garden
หลังจากกลับจากทัวร์ Robben island แล้วเราก็ไปเดินเล่นกันที่สวนสาธารณะของเมืองเคปทาวน์กัน

ถ้าเทียบง่ายๆคงเหมือนสวนลุมบ้านเรา ที่คนต่างมานั่ง ออกกำลังกาย นอนเล่นกันที่นี่

กระรอกที่นี่เชื่องมาก วิ่งเข้าหาคนตลอด เพราะนึกว่าคนจะให้ขนม แต่ถ้าพอน้องกระรอกรู้ว่าไม่มีขนมแล้วนั้น ก็วิ่งหายไปทันที
District Six Museum
ค่าเข้าชม : 45R (1xx บาท) สำหรับ self tour
Opening time : 9.00am – 4.00pm ปิดทุกวันจันทร์
Link : https://www.districtsix.co.za/

พิพิธภัณฑ์ดิสทริคซิกซ์ (District Six Museum) เดิมที่บริเวณนี้เคยเป็นชุมชนที่ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ร่วมกัน ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์การแบ่งแยกสีผิวในปี 1960 และ 1970 เราสามารถเรียนรู้ประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งพวกซากที่อยู่อาศัยที่ถูกรื้อถอน รูปภาพและบันทึกต่างๆได้

ความรุนแรงของการแบ่งแยกสีผิวในสมัยก่อน รุนแรงมากถึงขนาดแบ่งส่วนกันขนาดนี้
Day09 : Cape Town (Hout bay – Kirstenbosch National Botanical Garden) – Johannesburg

Hout Bay
ท่าเรือฮูทเบย์ (Hout Bay) เป็นท่าเรือที่มีชื่อของเมืองเคปทาว์นสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการล่องเรือไปชมอาณาจักรแมวน้ำที่เกาะแมวน้ำกัน แต่วันนี้ “ไปเรื่อยด้วยกัน” ขอแวะมาที่ท่าเรือแห่งนี้ เพื่อเจอดาราดังอย่าง Ms. Brown เจ้าตัวนี้กันค่ะ บอกเลยว่าคุณจะหลงรักเธอ 💙

Ms. Brown น้องอุ๋งอุ๋งถูกเลี้ยงโดยชาวบ้านแถวนั้น เลยจะมีนิสัยที่เชื่องไม่ได้ดุเหมือนแมวน้ำทั่วไป
นักท่องเที่ยวสามารถถ่ายรูป และเล่นกับ Ms. Brown ได้แต่ก็ต้องเสียเงินเป็นค่าน้ำใจนิดหน่อยให้เจ้าของด้วยนะคะ

Ms. Brown น้องอุ๋งโพสเก่งและเชื่องมากด้วย (แต่ถ้าอุ๋งตัวอื่นๆโปรดระวังน้า) น้องจะนั่งเล่นอยู่บริเวณท่าเรือก่อนลงเรือไปยังเกาะแมวน้ำ เพื่อนๆสามารถแวะมาทักทายกันได้ค่ะ
และที่สุดท้ายที่เราจะแวะกันก่อนกลับกันคือ สวนพฤกษชาติ Kirstenbosch National Botanical Garden ทางตะวันตกของเมืองเคปทาว์นแห่งนี้กัน รู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่ในโลกดึกดำบรรพ์จุลาสิคเวิล์ดกันเลย ซึ่งจะต้องขับรถออกจากตัวเมือง Cape town ไปสักครึ่งชั่วโมง
Kirstenbosch National Botanical Garden
ค่าเข้าชมคนละ 70R
Opening time : ทุกวันตั้งแต่ 8.00AM – 7.00PM (เดือนกันยายน – เดือนมีนาคม) และ 8.00AM – ุ6.00PM (เดือนเมษายน – เดือนสิงหาคม)
Link : http:// https://www.sanbi.org/gardens/kirstenboch/visitor-information

จุดเด่นที่ประทับใจในสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้คือ พื้นที่สีเขียวที่มีฉากหลังเป็นภูเขาTable Mountain ใหญ่ บ่บอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของพันธุ์ไม้ของที่นี่ได้อย่างดี

Fynbos พันธุ์ไม้เฉพาะของแอฟริกาใต้







Canopy walk ทางเดินช่วงสั้นๆเอาไว้เดินทอดตัวยาวเข้าไปหาภูเขา Table Mountain


Lost into Jurassic world
หลังจากจบทริปที่เมืองเคปทาวน์ พวกเราก็มุ่งตรงไปที่สนามบินเพื่อขึ้นเครื่องไปยังเมืองโจเบิร์ก และต่อเครื่องจากโจเบิร์กกลับเมืองไทยกันค่ะ
Day10 : Johannesburg – Bangkok, Thailand
Goaroundwithyou :
ทริปท่องเทียวดินแดนแอฟริกาใต้ก็จบลง พวกเราได้ความทรงจำดีมากมายกลับติดตัวกลับไป แถมยังลบความคิดเดิมๆว่าประเทศนี้เป็นอย่างไร แต่ทริปนี้จะยังไม่จบลงง่ายๆนะ เพราะอย่างที่บอกว่าของอร่อยๆเต็มเลย เราเลยขอแยกไว้อีก article หนึ่งละกัน เดี๋ยวมาเล่าสู่กันฟังว่าอะไรอร่อยและน่ากินบ้างงง แถมที่นี่คาเฟ่ยังตรึมๆเลยน้าดีๆทั้งนั้น ติดตามกันน้า 😀
0 comments on “WAKAWAKAXSOUTHAFRICA EP03”